31 มีนาคม 2553

interview our beloved 'Molly-Ja'


ก้าวแรกที่ได้เข้ามาอยู่บ้านที่อเมริกา สมาชิกภายในบ้านที่ข้าพเจ้าเห็นแต่รูป ไม่เคยเห็นตัวจริง ก็ออกมาต้อนรับด้วยการเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาจ้องๆมองๆดมๆแถวขาของข้าพเจ้า


หลังจากที่เราหนึ่งคนกะอีกหนึ่งตัวอยู่ร่วมกันมากว่า 1 อาทิตย์ ข้าพเจ้าก็เริ่มคุยกับเธอ


(อยู่อเมริกา เหงามากขนาดเริ่มคุยกับ...เอิ่มม...)


(อย่าลืมว่า มอลลี่พูดไม่ได้นะขอรับ ฉะนั้นบทสนทนานี้ สมมติล้วนๆ ฮ่าๆๆ)


ข้าพเจ้า: Good Morning Molly! (หลังจากเธอพยายามพังประตูเข้ามาในห้องนอนตอนที่ข้าพเจ้าหลับอยู่)
มอลลี่: ... (เดินเข้ามาดมๆ แถวเตียง แล้วซุกตัวอยู่ที่ผ้าปูหน้าทีวี ที่สำหรับเธอ)
ข้าพเจ้า: (เปิดทีวี นั่งดูซักพักก็เข้าไปหาของกินในครัว)
มอลลี่: (เดินตามอย่างไม่ต้องสงสัย)
ข้าพเจ้า: ฮันแน่ อยากกินล่ะสิ
มอลลี่: ...(ตูฟังภาษาไทยไม่ออกเฟ่ยยย...แต่ก็ยังอุตส่าห์นั่งหมอบท่าคุณทองแดงพร้อมแยกเขี้ยวบอกเป็นนัยว่า ตูหิว = = )
ข้าพเจ้า: (ทำแซนวิชไป คุยกะมอลลี่ไป) อายุเท่าไหร่แล้ว?
มอลลี่: What did you say?
ข้าพเจ้า: (ลืมไป หมาฝรั่ง) How old are you?
มอลลี่: I can't hear you
ข้าพเจ้า: (ลืมไป น้าของข้าพเจ้าบอกว่า มอลลี่อายุ 11 ปีแล้ว และหูก็แทบจะหนวกไปแล้วตามวัย แต่ก็ยังดันทุรังคุยต่อ ซ้ำร้ายยังใช้ภาษาไทยอีก) เอ่อ...งั้นหนูเรียกคุณยายนะ
มอลลี่: จ้ะ หลาน
ข้าพเจ้า: รูปคุณยายตอนยังสาวที่่ติดข้างตู้เย็นงามมากๆ ค่ะ
มอลลี่: จ้ะ
ข้าพเจ้า: แต่คุณยายดูอ้วนกว่าในรูปเยอะเลยหง่าา
มอลลี่: (ก็เล่นเดินตามคนที่มีของกินในมือตลอดเวลา ไม่ให้อ้วนได้ไงล่าาา)
ข้าพเจ้า: คุณยายอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คะ คุณยายเข้าห้องมา แล้วออกไป ทิ้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย รู้ตัวหรือเปล่าคะ
มอลลี่: ... (จ้องแซนวิชตาแป๋ว ไม่สนใจที่ข้าพเจ้าพูด)
ข้าพเจ้า: วันก่อนคุณยายหลับอยู่ข้างเตียงหนู ผายลมด้วยง่ะ เหม็นมากเลย
มอลลี่: (...ตูจากินแซนวิชชชชช)
ข้าพเจ้า: (เดินเตรียมจะเข้าห้องไปดูทีวี ขณะกินแซนวิช)
มอลลี่: (เขย่ากระดิ่ง เป็นสัญญาณว่าอยากออกไปเล่นที่สนามหลังบ้าน)
ข้าพเจ้า: (ออกไปเปิดประตูให้...แลเห็นกระรอกน้อยชะตาขาดตัวนึงอยู่กลางสนาม)
มอลลี่: แง่งงงงงงงงง...กร่อออออ.....ก๊าาาาซซซซซ (นั่นมันเสียงกอสซิลล่าแล่ว = =)


สรุปโดยย่อ

  1. มอลลี่เป็นสุนัขรักสงบ เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่เป็นศัตรูกับกระรอก = =
  2. มอลลี่อายุเยอะมากแล้ว ตั้ง 11 ปีเชียว การได้ยินแย่มาก แต่ถ้าผิวปากดังๆจะยังได้ยินอยู่
  3. สายตายังดีอยู่ ลองเทสต์มาหลายหนแล้ว
  4. ยังคงรักสนุก ชอบให้เล่นด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่เพราะแก่แล้ว (แล้วข้าพเจ้าก็ไม่ชอบเล่นกับหมาซะด้วยสิ ถ้ากับเหมยก็ว่าไปอย่าง หึหึ...)
  5. สุดท้าย ข้อนี้สำคัญมาก มอลลี่ เห็นแก่กินมาก มักจะนั่งรอข้างๆคนกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยม พอกินเสร็จแล้ว ก็จะเดินหาของกินที่หล่นๆร่วงๆ อยู่แถวนั้น จะจำเวลาให้ของว่างได้อย่างแม่นยำ แล้วถ้าไม่มีอะไรทำ มอลลี่ก็จะ นอน อย่างเดียวค่ะ ฮี่ๆๆๆ


23 มีนาคม 2553

ฆาตกรรมอาซิ้มที่นั่งเบาะหลัง = ="

อยากฆ่าคนโว้ยยยยยยย

ทำบุญได้โทษ...โปรดสัตว์ได้บาปปป

เรื่องมันมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าได้ขึ้นเครื่องไฟลท์จากไทเปไปซานฟรานซิสโก เพิ่งไปหาน้าสุดที่ร้าก สายการบิน EVA airline ไม่ได้เช็คข้อมูลไปแต่แรก (น้าจองให้ จ่ายตังค์ให้ หึหึ...) พบว่าเป็นสายการบินของไต้หวัน ไอตอนเที่ยวนั่งจากสุวรรณภูมิลงไทเปก็โออยู่หรอก บริการทุกระดับประทับใจ แถมไร้คนนั่งข้างๆ 555 แต่พอไฟลท์นี้นี่สิ

แรกเริ่มเดิมที ข้าพเจ้าได้นั่งข้างๆ ผู้หญิงคนนึง ดูโอเคไม่น่ามีปัญหา แต่พี่สา่วเธอเดินมาขอสลับที่กะข้าพเจ้่า ข้าพเจ้าก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะเดินทางมาคนเดียวอยู่แล้ว

แต่ปัญหาคือ อาซิ้มที่นั่งอยู่ข้างหลังพี่สาวของคนที่นั่งข้างเรานี่สิ T^T

พอเรานั่ง เราก็ต้องวางแขนตรงที่เท้าแขนกันใช่ไหม ข้าพเจ้าก็วางแขน ข้อศอกไปโดนอะไรบางอย่างเข้า ... ทีแรกหันไปมอง ก็นึกว่าเป็นสัมภาระไรบางอย่างที่ยื่นมาจากข้างหลัง ก็ไม่ได้ติดใจอะไร

แต่...

พอหันไปพิจารณาอีกรอบ รู้สึกเหมือนมีอะไรคล้ายๆเล็บอยู่ในถุงนั้นแฮะ = = เฮือกกก นี่มัีนเท้าชัดๆ (ตอนแรกไม่สังเกตเพราะแกใส่ถุงน่อง) โอ้วก้อดดด หลังจากนั้นอาซิ้มแกก็เริ่มล้ำเส้น เหยียดเท้ามาเรื่อย ยังดีพอมีที่วางแขนบ้างไรบ้าง ขณะกำลังคิดประโยคภาษาอังกฤษเอาไว้บอกเจ๊แกอยู่นั่น เครื่องก็เริ่มขึ้น เจ๊แกก็เอาเท้าลง เห้ออ พอเครื่องขึ้นเรียบร้อยปุ๊บ ก็เสิร์ฟอาหาร (เลทกว่าที่คิดไว้เยอะ หรือตอนไฟลท์จากสุวรรณภูมิข้าพเจ้าหลับอยู่หว่า) เท้าเจ๊แกก็หายไปสักพัก พอได้เวลานอน แม่มมมม...นรกชัดๆ

โชคยังดีที่คนนั่งข้างข้าพเจ้าแล้วน่าจะโดนเท้าอาซิ้มแกด้วยเป็นผู้ชาย ใส่สูทผูกไทอารมณ์เหมือนไปดูงานต่างประเทศ เอาศอกเศิกไรมาโดนเท้าเจ๊แกบ้าง (อันที่จริงข้าพเจ้าก็พยายามเอาศอกดันแบบให้สำนึกบ้างก็แล้ว ส่งสายตาอาฆาตบ้างก็แล้ว แต่แม่งงง...)

ตูไม่เข้าใจ แอร์โฮสเตสไม่คิดจะบอกอะไรเลยหรือไงวะ
(เอ่อ..หรือว่าคนจีนเค้าถือว่าเป็นเรื่องปกติ?)

หลังจากการนอนคู้ตัวสุดหิน (เท้าอาซิ้ม+ผู้ชายข้างๆ เบี่ยงตัวมาหาข้าพเจ้าเยอะไปหน่อย) ตื่นมาคอเคล็ดอีกต่างหาก ข้าพเจ้าก็ถูกปลุกด้วยมื้อเช้า ดีนะที่อาหารของสายการบินนี้อร่อย ทำให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง (ว่างๆจะรีวิวเน้ออ) แต่แล้ว เท้าอีกแล้วครับ...

ตูข้องใจ อาซิ้มเฮงซวยนี่มีปัญหาอะไรกับเท้ามากนักวะ...???

ไม่ใช่แค่นั้น ทุกครั้งเวลาซิ้มแกจะเข้าห้องน้ำ แกจะต้องดึงที่นั่งข้าพเจ้าลงด้วยทุกครั้ง = = เวลานั่งปกติถ้าเท้าไม่วางพาดที่รองแขนก็ชอบโดนเบาะให้ข้่าพเจ้ารำคาญหลัีงเล่นอยู่แล้ว

... รอบสุดท้ายที่แกเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานั่ง ข้าพเจ้ามีปัญหาเรื่องการกรอก immigration อยู่ กำลังจะโบกมือเรียกแอร์ไทยซึ่งกำลังเดินผ่านมาพอดี แต่แล้วอาซิ้มแกก็ดึงเบาะลงนั่ง ... แต่แกดึงผมตูลงไปด้วย! อ๊ากกกกก ... แล้วพี่แอร์ก็เดินผ่านไป จบกัลลล (สุดท้ายต้องถามแอร์คนจีนง่ะ ซึ่งก็ตอบให้เป็นอย่างดี)

แม้กระทั่งตอนเครื่องกำลังลงจอด เจ๊แกก็ยังอุตส่าห์เอาเท้าวางบนที่รองแขนข้าพเจ้าอีก


สิ้นสุดความทรมาน สิริรวมเวลาราวๆ 11 ชั่วโมง


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
  1. ก่อนขึ้นเครื่องไปต่างประเทศ ฝึกภาษาอังกฤษไปให้เก่งๆก่อน
  2. ...อ้อ ฝึกคำด่าไว้บ้่างจะดีมาก
  3. แต่ถ้าไม่สามารถทำ 2 ข้อข้่างต้นได้ เช็คสายการบินดีๆก่อน ถ้าไม่อยากเจอเจ๊กมารยาทแย่ (พอจะรู้นิสัยคนจีนมาบ้างตอนระหว่างทริปไปมาเก๊า นี่เป็นอีกสาเหตุที่ไม่หันไปบอก ถ้าบอกแอร์น่าจะได้แค่ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นไม่รู้จะเจออะไรหนักกว่านี้บ้าง)
  4. อย่าคิดว่าที่นั่งติดทางเดินไม่ดี ถึงแม้จะเจอคนเดินผ่านไปมาบ่อยเกิน แต่คุณจะได้อาหารก่อน แล้วยิ่งนั่งเครื่องไปคนเดียว ที่นั่งริมทางเดินยิ่งเวิร์กมาก อยากออกไปเอาของหรือไปเข้าห้องน้ำเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างผู้ชายที่นั่งข้างๆข้าพเจ้่านี่ 11 ชม. ไม่เห็นเดินออกไปไหนเลย

บล็อกต่อไป คงบ่นเรื่องตอนผ่านด่าน ไม่งั้นก็ของกิน 555

20 มีนาคม 2553

OOTOYA - มะม่วงยายกล่ำ - วันแสนเซ็ง

เกริ่นก่อน...วันนี้แม่ลากข้าพเจ้าไปซื้อของต่างๆนานาก่อนไปอเมริกา แต่ดูเหมือนว่าแม่จะมีธุระก่อน หึย คิดแล้วเซ็งโลกมาก ทำอีท่าไหนไม่ทราบข้าพเจ้าก็ได้มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในร้าน OOTOYA สาขาจามจุรีสแควร์ กับเพื่อนเก่าของแม่อีกคน...เพื่อนแม่น่ารักดีนะ อัธยาศัยดี ฟังๆดูน่าจะเป็นครูอยู่ที่สาธิตจุฬาฯ...เข้าเรื่องอาหารกันดีกว่า 555+ แม่กับเพื่อนแม่สั่ง เซ็ตปลาฮิวชิไดย่างถ่าน ส่วนข้าพเจ้าสั่ง เซ็ตสลัดไก่ย่างถ่านซอสเบซิล (Basil ก็ใบโหระพานั่นแหละ ร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ กระแดะใช้ภาษาปะกิด เหอๆๆ) ข้าพเจ้าไม่พลาดสั่งของหวานอย่าง น้ำเต้าหู้ราดซอสดำ (ชื่อเมนูประมาณนี้แหละ)


(รายละเอียดเพิ่มเติม เข้าไปตามลิงค์นะขอรับ ขี้เกียจพล่าม)


วิจารณ์อาหาร:

แม่ = "รู้งี้สั่งปลาแซลมอนดีกว่า ไม่ไหวเลย" ... คือแม่ข้าพเจ้าท่านชอบอาหารต่างชาติแบบที่ปรับรสให้ถูกปากคนไทยแล้วอะ แล้วไอปลาฮิวชิไดนี่มันย่างถ่านมาแบบแห้งๆ อารมณ์เหมือนคนญี่ปุ่นทำกินเอง (ตาม
ที่แม่วิจารณ์)

ข้าพเจ้า = "ตูจ่ายตั้ง 200 เผื่อกินสลัดผักเคียงสเต๊กใช่ไหม?" ... ไม่รู้ว่าคาดหวังสูงไปนิดหรืออาหารมันกากจริงๆ ในเมนูโฆษณาอย่างดีว่าสลัดราดด้วยน้ำซีซาร์สลัด คนอ่านก็เพ้อถึงชีสสิคับ แม่งง น้ำสลัดก็ให้น้อย ซอสเบซิลก็ให้มาจึ๋งนึง หารสชาติไม่เจอเลย ที่แค้นใจที่สุดเห็นจะเป็นตัวผักที่ให้มาเยอะแต่มีแค่กะหล่ำปลีซอยเป็นหลัก ซึ่งหลายๆคนก็รู้นะว่าไอกะหล่ำปลีเนี่ยมันหาเจอได้ตามจานสเต็กตามร้านแถวอมรพันธ์ T^T แต่อัพเกรดนิดนึง รู้สึกว่ากะหล่ำปลีมันจะนุ่มปากกว่าหน่อย เคี้ยวง่าย 555+

แต่ของหวานมันคนละเรื่องกันนะ "ไอ้น้ำเต้าหู้เนี่ย สุดยอดมาก อ๊ากกกก" เข้าไปนั่ง OOTOYA เพื่อสั่งน้ำเต้าหู้แก้วเดียวได้ป่ะ คือมันเข้มข้นสุดยอด แล้วไอซอสสีดำที่ให้ราดที่แท้มันคือคาราเมล แต่หากลิ่นความเป็นคาราเมลแทบไม่เจอ ซ้ำร้ายยังเป็นสีดำอีก แปลกแฮะ อันนี้ก็เอาไว้เติมความหวานพอประมาณ แต่...ขนาดยังไม่เติมยังสุดยอดเลยอะ อร่อยมั่กมากๆ คอนเฟิร์มๆ



ต่อไปคือของฝากที่แม่เอาให้เพื่อนเก่าค้าบ เป็นของดีจากเมืองนนท์ มะม่วงยายกล่ำ นั่นเองงง


(รายละเอียดเพิ่มเติม....ดูคอมเม้นท้ายๆนะ)


ที่บ้านข้าพเจ้าก็มี เมื่อกี๊ก็เพิ่งยัดเข้าปากไป จากคำบอกเล่าของพ่อแม่คือ กลิ่นเหมือนอกร่อง รสชาติเหมือนน้ำดอกไม้...ถึงว่ากินแล้วรู้สึกแปลกๆ เป็นอย่างนี้นี่เอง อร่อยดีนะ พ่อเล่าให้ฟังว่า พ่อไปซื้อมาจากเจ้าของสวน ซึ่งถึงกับต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปก่อนจะใช้ตะกร้อสอยไอมะม่วงนี่มากว่าจะได้กินกัน...แต่คุ้มค่ามากๆ อาหย่อย งั่มๆ


พอสิ้นเสร็จธุระของท่านแม่แล้ว ก็ออกเดินทางจากจามจุรีสแควร์มุ่งหน้าสู่เซ็นทรัลลาดพร้าว เพื่ออะไรน่ะหรือ....



เพื่อรอแม่ซื้อเสื้อไปฝากน้าที่อเมริกา 3 ชั่วโมงไ้ง้ T^T (...ถึงขนาดว่า เริ่มเปิดประเด็นการเมืองกับพนักงานในร้านเลยทีเดียว ตีซี้กันขนาดนั้น กะให้เค้าลดราคาล่ะเซ่)


ถ้านิยามของผู้หญิงคือช็อปเก่ง ต่อราคาเก่ง แสดงว่าเราเป็นผู้ชายสินะ - -"


แม่บอกว่า แบรนด์ที่น้าอยากได้ นำเข้าจากฝรั่งเศสขอรับ ซึ่งในอเมริกามันขายแพงกว่าในไทย (อ่าว...ซะงั้น) จำชื่อแบรนด์ไม่ได้ แล้วก็อย่ามาถาม ข้าพเจ้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆ กลายเป็นหุ่นเชิดให้แม่ใช้ลองเสื้อแทนน้า ... (แล้วชุดมัน อ๊ากกกกกก) สุดท้ายก็ได้พี่พนักงานหุ่นยาวเข่าดีช่วยลองให้แม่ กว่าจะจบสิ้น แทบบร้าาา สัปหงกรอแม่อยู่ในร้านนั่นแหละ ถ้าไม่เกรงใจ ไปตบกีต้าร์ฮีโร่แล้วโว้ยยย


เสร็จแล้วก็ไปซื้อคอนเวิสออลสตาร์กะพ่อ (ณ จุดนี้ไม่มีไรมาก ขี้เกียจพล่าม) แล้วก็จบลงที่ร้านแมคโดนัลด์กะอีกเกือบ 2 ชั่วโมงของธุระแม่ (อีกแล้ววววว) กับญาติที่มาจากญี่ปุ่น (อะ อันนี้อนุโลมนิดนึง คุณน้าเค้ามาไกล)


(ยามว่างจะรีวิวแมคโดนัลด์ไทยแลนด์ให้...อย่าคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจนะ!)


แต่ที่สุดแล้ว ของที่เราได้ในวันนี้ หลังจากที่ไปตะลอนกะแม่ทั้งวันคือ...รองเท้า 1 คู่ T^T (เซ็งชิบบบ)



ว่าแล้วแม่ก็เตรียมไปส่งคุณน้าที่คอนโดแถวไหนซักแห่ง (แล้วบอกข้าพเจ้าด้วยความรักว่า "เสื้อผ้าของลูก ไว้ซื้อที่เดอะมอลล์พรุ่งนี้ละกัน" ... Damm แล้ววันนี้ทั้งวันของข้าพเจ้า ???)....ข้าพเจ้าก็เลยเผ่นไป ม. เลยเจ้าค่ะ ไปยลโฉมแม่นางหมีเหย่ยก่อนจากลา โหยยย วันนี้สรุปคือไปทำงานกับแม่ชัดๆ T^T



เซ็งสุดชีพพพพพพพพพพ !!!

13 มีนาคม 2553

ว่าด้วยนิยาย...และความสับสนของชีวิต

วันนี้ได้มีโอกาสจับเข่าคุยเล็กๆน้อยๆกับท่านพี่เอมแห่งชมรมวรรณศิลป์ ช่วงเทอม 2 นี่ไม่ได้คุยหรือเยื้องกรายเข้าไปเฉียดกับอะไรที่เกี่ยวกับวรรณกรรมเลย (สงสัยเป็นเพราะจิตตกขั้นรุนแรง) รู้สึกแย่มาก พอปิดเทอมแล้วก็เลยหาโอกาสซะหน่อย เปิดหน้าต่าง M ทักพี่เค้าซะ ปรากฏว่าเราตกข่าวอย่างแรง


พี่เอมได้รางวัลชมเชย "ที่ว่าง...สำหรับคนเรื่องเยอะ" ของช่อง 3 (ดูรูปที่นี่)


โหยยย พี่เค้าจะเมพไปไหน มีโอกาสได้ทำเป็นละครด้วยง่ะ เท่านั้นยังไม่พอครับพี่น้อง พี่เอมท่านยังเอานิยายเรื่องที่ว่าไปส่งโครงการนานมีบุ๊คส์อะวอร์ด อีกต่างหาก โดยส่งในหัวข้อแนวสืบสวน และได้แอบกระซิบมาอีกว่า นานมีเค้าเน้นการดำเนินเรื่องกระชับ และสำนวนแบบฝรั่ง ของพี่เอมแต่งแนวไทย ส่วนของเราที่มีอยู่ปัจจุบันก็ไปทางญี่ปุ่น...แถมมีผีโผล่มาด้วย ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลย ฮะๆ (ซ้ำร้ายยังดองเค็มมาอย่างนานยาวเนื่องจากตันครับพี่น้อง) ปิดรับสมัครเดือนกรกฏานี้แล้ว ถ้าไม่ติดว่าซัมเมอร์นี้ไม่อยู่เมืองไทยก็อาจจะลองซักตั้ง แต่พล็อตเรื่องมันไม่ได้หง่าาา มันมีผีด้วยนี่สิ T^T


แต่โครงการของช่อง 3 เปิดมาอีกเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าอาจจะส่งก็ได้ หึหึ... มีพล็อต(ไม่)เน่าไว้ในหัวแล้ว


เอ่อ...ว่าแต่ว่า แกจะมีเวลาไหมเนี่ย รู้สึกอยากทำนู่นทำนี้เยอะเหลือเกิน สับสนคร้าบสับสน

  • อยากแต่งนิยาย
  • อยากทำ blog review ของกิน
  • อยากฝึกทำกับข้าว
  • อยากทำนวัตกรรมกีฬาให้ชมรม (อันที่จริงใช้คำว่าอยากไม่ได้ เอาเป็นว่าท่านประธานสั่งมา)
  • อยากเรียนภาษาอังกฤษ
  • อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น (เรียนแล้ว ล่มไปแล้ว T^T)
  • อยากเรียนเปียโน
  • อยากเรียนเทนนิส
  • อยากทำเกรดดีๆ (ฉุดของเทอมนี้ที่เน่าบัดซบแน่นอน)
  • อยากปั่นจักรยานรอบ ม.
  • อยากดูหนังที่ดองอยู่ในเครื่องให้หมด
  • อยากหมกตัวอยู่แต่ในหอสมุด ขุดหนังสือดีๆ มาอ่านเหมือนสมัยตอนอยู่ประถม-มัธยม (ทำไมเข้ามหาลัยแล้วไม่ได้ทำเลยวะ เซ็ง)
  • อยากหายจิตตก มีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ชัดเจนกะเค้ามั่ง

ทุกวันนี้ อยากตายอย่างเดียวจริงๆ คิดแล้วเครียด เห้อ...

เริ่มทำ blog ของตัวเองเป็นครั้งแรก

หลังจากบ้าเลือดแต่งนิยาย และทำ My.ID (อย่างกากๆ) ใน Dek-D มาร่วมๆ 6 ปี ยังไม่นับรวม HI5 และ storythai ที่ทำอย่างทิ้งขว้าง ล่าสุดก็นั่งปรับปรุง [-CHO-] โปรเจค(ล่ม)เก่าแก่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อระบายความบ้าของกลุ่มเพื่อนทั้ง 5 เสร็จไปหยกๆ


ในที่สุดบล็อกนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเสียที


จุดประสงค์คือ เอาไว้โพสต์สิ่งต่างๆที่น่าสนใจระหว่างเดินทางไปอเมริกา แล้วก็คงเลยเถิดไปเรื่อยๆหลังจากกลับมาอีก ปัญหาใหญ่หลวงยิ่งของบล็อกนี้คือ


ความสนใจแต่ละเรื่องของเจ้าของบล็อกมันช่าง...ขัดแย้งกันสิ้นดี


ถ้าเป็นไปได้ อาจจะสร้างบล็อกอีกบล็อกนึงเอาไว้ลงเรื่องของกิน-ท่องเที่ยว ส่วนบล็อกนี้เอาไว้วิพากษ์วิจารณ์ปรากฎการณ์ตั้งแต่เล็กจิ๋วยันใหญ่โตในสังคมทั้งในและนอกโลกไซเบอร์ (ด้วยวิถีแห่งความเกรียน อิอิ)


จริงๆแล้ว ไม่แยกบล็อกก็ย่อมทำได้ แต่ธีมมันช่างขัดแย้งกันเสียจริง ลงรูปใหญ่ๆก็ลำบาก



ดูสถานการณ์ก่อนละกัน...