20 พฤศจิกายน 2553

After You After Sport Day

เมื่อวานนี้เป็นวันกีฬาสีโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยขอรับ ข้าพเจ้าและผองเพื่อน/2 ก็ถือโอกาสนัดกินเลี้ยงกันตอนเย็น แต่อยากเจอชาวแก๊ง [-CHO-] (ย่อมาจาก Copy Homework Organization) ก่อน ก็เลยนัดเจอกันล่วงหน้า ตระเวณถ่ายรูปในงาน (อยากดูรูป ดูใน fb นะจ้ะ งวดนี้ไม่เอาลง picasa เพราะคนดูเยอะแน่)

เข้าเรื่องๆ ก่อนจะไปกินเลี้ยงที่สามเสนวิลล่า ข้าพเจ้าและชาวแก๊งเผ่นไปกิน After You @VillaMarket ติดรถไฟฟ้าอารีย์ สถานที่กินประจำของชาวแก๊ง วันนี้มีข้าพเจ้า ตอย ย้ง อธิป ขาดพ่อหนุ่มกล้า หัวหน้าห้อง/2 = =" (นายพลาดแล้วว่ะพวก)


หน้าร้าน



คนยังเยอะเหมือนเดิม


เข้ามาในร้านแล้วก็ดูเมนูก่อน



จานแรกก็มาเสิร์ฟ ><

Chocolate Mud Brownie

มันน...สุดยอดมวากกกกก อ๊ากกกกกก ถ้าใครเคยกิน Chocolate Lava รสชาติจะคล้ายๆกัน คือมีความขมนิดๆของช็อกโกแลตไหม้ แต่อันนี้จะไม่เข้มข้นเท่าเพราะความนุ่มแบบสุดๆของบราวนี่ทำเอาเคลิ้มไปเลย


Shibuya Honey Toast

เมนูนี้ดังที่สุดแล้ว สั่งมาให้ย้งกับตอยกินเพราะสองคนนี้ไม่เคยมาร้านนี้อะ

รสชาติแทบไม่ต้องบรรยาย ไอติมวนิลา+ขนมปังอัดเนย+วิปครีบ มันลงตัวเกินจะบรรยายขอรับ แต่ต้องกินให้เป็นนะ ขั้นแรกก็ตัดขนมปังให้เป็นชิ้นพอดีคำ ปาดไอติมกับวิปครีมมาพอประมาณ เอาไปจิ้มกับน้ำผึ้งที่ราดลงที่จานนิดนึง หรือจะจิ้มก่้อนแล้วก็ปาดไอติมกับวิปครีมทีหลังก็ได้ (อย่าราดลงบนตัวขนมปังนะ เลี่ยนพอแล้ว) ขนมปังมันจะไหม้น้ำตาลนิดนึง มีรสเค็มๆตัดเลี่ยนได้กำลังดีเลย

เสียอย่างเดียว ไอคนที่มากินด้วย(นังย้ง)แม่งกินขนมหวานไม่เป็น ต้องกระซวกให้ทันมัน (ขออนุญาตหยาบนิดนึง มันแค้่นใจ = =)

อีก 10 นาทีต่อมา จึงเป็นแบบนี้ ><


กระซวกกันอำมหิตมาก การกินขนมหวานที่ดีไม่ควรกินเร็วจนเกินไปนะจ้ะ


และนี่ก็คือค่าเสียหาย หารกันแล้วเหลือคนละ 77.50.-


ขอบคุณรูปจากกล้องของท่านตอยจ้า (กล้องข้าพเจ้าถ่ายงานกีฬาสีเพลิน แบตหมดก่อนหง่า)

อะ แถมมม


ท่านตอยทำมาให้

26 ตุลาคม 2553

ซาโบเต็น @ ซีทีดับเบิ้ลยู

โฮกกก ในที่สุด ข้าพเจ้าและเล่าชาว CoMiNaPe' (แบบไม่ครบแก๊ง) เนื่องจากหนู peach CoMiNaPe' ดันป่วยขึ้นมาซะนี่ = =

ชาวแก๊งที่เหลือก็เลยนัดกันหาไรกิน แล้วซื้อเค้กไปเยี่ยมหนูพีชซะหน่อย

เริ่มแรก ซาโบเต็น ณ ชั้น 6 เซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งอิเซตัน ขอรับ ตามคำยุยงของข้าพเจ้าเอง อยากลองทงคัตสึขั้นเมพมานาน อุอุ

คิวยาวนรกแตกมากค้าบบบ (ดีไม่ยาวเท่าคริสปี้ครีม ><) รอนานกว่าครึ่งชั่วโมง แต่พวกเราแจ้นไปซื้อเบเกอรี่ให้แม่ของหนูมิ้นซะก่อน อุอุ เลยไม่เดือดร้อนมาก


ได้เข้าไปนั่งในร้านซักที พนักงานเสิร์ฟชาเขียวเย็นๆรสชาติเฝื่อนคอ แต่ก็สดชื่นดี (ดื่มแล้วนึกว่ามีถ่านผสมอยู่ = = รสชาติคล้ายๆที่ Ootoya แต่จางกว่า)


ร้านนี้ให้รอนานมาก แต่พอได้นั่งแล้วบริการเยี่ยมมากขอรับ ของมาไวทุกอย่างเลย สามารถสั่งของตอนยังรออยู่ข้างนอกได้ แต่หมูก็ยังมาไวไปอยู่ดี = = คุณแค่เอาไปอุ่นช่ายม้ายยย ยอมรับมาซะ ! 555+


กะหล่ำ เอามากินกับน้ำสลัด 2 แบบ อร่อยน้า ดูตามข้างล่าง


ซ้าย: น้ำสลัดแบบข้น รสชาติมันๆ อร่อยดี
ขวา: คาดว่าเป็นน้ำสลัดแบบญี่ปุ่น เปรี้ยวจี๊ดแต่เค็มไปหน่อย


ทีเด็ดของร้าน...งาดำ+งาขาว พร้อมสากไว้บดพอประมาณ อุแม่เจ้าา กลิ่นมันหอมยั่วยวนมากเลยง้าบบ สุโก้ยยเดสสส


และนี่คือ...น้ำจิ้มหมูทอดอร่อยบัดซบขอรับ (ที่จริงถ้ากินเปล่าๆ จะเค็มไปหน่อย แต่พอมีหมูกับงาดำมานี่มันช่างลงตัวอย่างยิ่งยวดเสียนี่กระไร)


เอางากับน้ำจิ้มมาผสมกานนน


หมูสันในของหนูมาเลี้ยววววว...ยอมรับว่าผิดหวังในขนาดมาก ชิ้นโคตรเล็กเลย แต่เคยอ่านรีวิวก่อนหน้านี้เค้าก็ว่าร้านนี้หมูชิ้นเล็กกว่าร้านอื่น = =


หมูสันนอกติดมันของหนูมิ้น สังเกตว่าชิ้นใหญ่กว่าของข้าพเจ้า แต่มันติดมันมาด้วย 555+


แล้วก็...หมูชีสสส ของหนูคม โอ้ววว ชีสมันสุดยอดมากค้าบบ แอบชิมมาแว้วว ซ้ายมือสุดเป็นคร็อกเกต์ปู รสชาติแอบเลี่ยน ครีมเยอะมากเกือบหาเนื้อปูไม่เจอ = =


เสิร์ฟพร้อมข้าวและน้ำซุป ซุปกลมกล่อมกำลังดีเลย ให้เต้าหู้กับสาหร่ายมาเยอะใช้ได้ ส่วนข้าว มันก็ข้าวญี่ปุ่นนั่นแหละ ไม่ว่าอย่างไรข้าพเจ้าก็กินเหลือตลอด = =


ตบท้ายด้วยไอติมชาเขียวค้าบบ รสนมเข้มข้น รสชาเขียวจางไปหน่อย แต่ยังไงก็อร่อยอยู่ดี แฮ่ๆ


บทสรุปของการไปกินซาโบเต็นในครั้งนี้ รู้สึกว่าแพงไป รอนานไป เมื่อเทียบกับคุณภาพของหมู = =" โอเค มันอร่อย มันไม่แห้งเกินไปเหมือนทงคัตสึที่อื่นๆ แต่มันก็ไม่ได้เมพขนาดนั้น = = สงสัยเพราะอยู่ในห้างดังด้วยมั้ง ราคาเลยอัพซะ = = ยังไงก็ยังติดใจตรงที่กินข้าวเหลือตั้งครึ่งถ้วย หมูมันน้อยหง่าา เซ็งง (ที่นี่เติมข้าว ชา ซุป กะหล่ำ ได้เรื่อยๆ ชาเขียวไม่น่าเติมไ้ด้ หมูทอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง)

แต่ร้านนี้มันมีจุดเด่นตรงที่ พนักงานเอาใจใส่อย่างรุนแรง สังเกตว่าจะคอยเดินดูตลอดว่าลูกค้ากินไปถึงไหนแล้ว ชาพร่องหรือยัง แล้วจะรีบเสนอตัวมาเติมให้ทันที กินเสร็จปุ๊บก็ไม่ต้องรอนาน มีคนมาเคลียร์ที่ให้พร้อมเสิร์ฟไอติมทันที อุแม่เจ้าาา ><

สลัดกะหล่ำที่มีน้ำสลัดบริการบนโต๊ะถึงสองรสชาติมันก็แหล่มมากนะเธอว์ โดยเฉพาะสลัดน้ำข้นอะ ปลื้มม

แล้วก็ที่ปลื้มสุดๆค่ะ น้ำจิ้ม งา งา งา งา มันหอมมาก อร๊ายยยยย เสียดาย น่าจะแบ่งงาส่วนนึงไปใส่ในสลัด ฮ่าๆๆๆ


สรุปคือ อาจจะกลับไปกินอีก (สั่งเมนูหมูชีสสสสสส) แต่ก็คงเหมือนคริสปี้ครีมอะ รอคนหายเห่อก่อน จะได้คิวยาวน้อยกว่านี้ = =

13 สิงหาคม 2553

บ้านส้มตำ @หลังออฟฟิศแม่

อะแฮ่มๆ ในที่สุดข้าน้อยก็จะเริ่มรีวิวอาหารอย่างจริงจังซะที

พอดีวันนั้นพี่สุดที่รักรับเนติบัณฑิต แล้วโดนเรียกตัวไปแล้ว เลยต้องหาที่สิงสถิต จึงกลับไปออฟฟิศแม่แทนที่จะนั่งรอเหงือกแห้งอยู่หน้าสวนอัมพร แล้วพอมื้อเที่ยง แม่และญาติๆก็พามากินที่ร้านหลังออฟฟิศนี่จ้าา


ร้านนี้เป็นร้านส้มตำ ตกแต่งดูโมเดิร์นมาก แต่อย่าคิดว่าร้านส้มตำสไตล์เมืองกรุงจะไม่เผ็ดนะ ข้าน้อยจัดว่ากินเผ็ดใช้ไ้ด้อยู่ ยังทนความเผ็ดของร้านนี้ไม่ค่อยได้เลย...แต่ว่ามันอร่อยจริงๆฟ่ะ

ถ่ายรูปไม่เก่งหง่า ขออภัยด้วย แฮ่ๆ (ออกตัวก่อนๆ)



หน้าร้าน



ในร้าน



ตำกันสดๆ ต่อหน้าลูกค้าเลย



มาเสิร์ฟเลี้ยววว ><



มันคือตำซั่ว...หรือตำมั่ว ? เผ็ดมาก แต่อร่อยโคตร



ผักเคียง



ข้าวเหนียวนุ่มๆ (ลืมเปิดถ่ายข้างใน)



ตำมั่ว...หรือตำซั่ว ? ขนาดคนสั่งยังงง แยกไม่ออก



แกงอ่อม กินไปไม่มาก แต่อร่อยดี



ทอดมันหัวปลี อร่อยบัดซบ



น้ำจิ้ม เข้ากันกำลังดี



ปีกไก่ทอด กรอบนอกนุ่มใน อร่อยๆ


น้ำจิ้มมีให้เลือก 2 แบบ


จริงๆแล้วได้สั่งกระท้อนลอยแก้วมากินด้วย แต่ลืมถ่ายรูปเก็บไว้ รสชาติก็โอเคนะ (แต่ปกติไม่ค่อยชอบเท่าไหร่)


ความเห็นส่วนตัว: อร่อยใช้ได้เลย รสชาติแบบคาดไม่ถึงว่าลักษณะร้านจะขายอาหารเผ็ดจัดจ้านขนาดนี้ อย่างตำมั่ว(หรือตำซั่ว?) ใส่ปลาร้าลงไปแท้ๆยังปลื้มเลย ใส่ไม่มากแค่พอหอมปากหอมคอ (ปกติเกลียดปลาร้ามาก) โดยเฉพาะทอดมันหัวปลี เกิดมาไม่เคยกิน อร่อยโฮกกกก ปีกไก่ทอดได้กำลังดี ไม่แห้งเกิน กรอบอร่อย สุดยอดมาก ไม่จิ้มน้ำจิ้มยังอร่อยอะ

ราคา: ไม่รู้ แม่จ่าย ><

การเดินทาง: เนื่องจากไม่มีรถขับ จึงบอกไม่ได้ว่าขับมาไง แต่ถ้านั่งรถไฟฟ้าก็ให้ลงตรงสถานีสุรศักดิ์ ลงฝั่งตึก A.I.G. แล้วเลี้ยวเข้าตรงซอยโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนแล้ว...ไปไงต่อวะ 555 ดู googlemap เอาละกัน

เวลา: 11.00-22.00 น.

ติดต่อ: เผื่อไปไม่ถูก เพราะคนกินก็จำไม่ได้ว่าไปไง 026303486 ตามเบอร์นี้เลย

10 สิงหาคม 2553

ปล่อยชีวิต...

(คะแนนดิสครีททำตูจิตตก... Entry นี้เพ้อเจ้อมาก แนะนำว่าอย่าอ่าน)


ผ่านมา 8 ปี ชีวิตของฉันเต็มไปด้วยข้ออ้าง...

ข้ออ้างที่จะหายใจทิ้งไปวันๆ
ข้ออ้างที่อยากจะหนีไปให้ไกลๆ
ข้ออ้างที่ไม่เข้าใจว่าจะตั้งใจทำอะไรให้สุดความสามารถไปทำไม


คนอย่างฉัน มาถึงจุดนี้ได้ ก็เหนือความคาดหมายจะแย่อยู่แล้ว....



พื้นฐานเดิมของฉัน ไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เอาตัวรอดเก่งเป็นบ้า หึหึ...

สมัยประถมนั้น การบ้านแทบไม่เคยทำส่ง อาศัยแต่ว่าเรียนในห้อง

ไม่รู้ทำอีท่าไหน ได้อยู่ห้องคิงทุกปี



จุดพลิกผันในชีวิต อดีตอันเจ็บปวดถูกเฉลยให้เจ็บปวดยิ่งกว่า

แต่รอบข้างของฉันนั้นเต็มไปด้วยเพื่อนและครอบครัวอันเป็นที่รัก

ในตอนนั้น ฉันตั้งมั่นว่าฉันจะใช้ชีวิตอย่างดีให้สมกับที่พ่อแม่ฝ่าฟันอุปสรรคมา

แม้ว่าจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่น แต่ฉันก็จะมีชีวิตอยู่เพื่อพ่อแม่

ฉันขยัน ฉันตั้งใจสอบเข้า ม.1 แม้จะผิดหวังถึง 2 ที่ ฉันก็ยังคงสู้ต่อ

จนกระทั่งสอบติด ลบคำปรามาสได้ในที่สุด



ผ่านไปแค่ 2 ปี ... ฉันลืมความรู้สึกนั้นไปหมดแล้ว ความกดดันทั้งหลายทั้งมวลทำให้ฉันเครียดจนแทบจะบ้า อยากตาย อยากหนีไปให้พ้นๆ ฉันเริ่มไม่เข้าใจว่า...
ทำไม คนอย่างฉันต้องอยู่ตรงนี้
ทำไม คนอย่างฉันต้องทำอะไรแบบที่คนอื่นเขาทำกัน
ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม...
ฉันขวางโลกเกินไป ฉันเครียดเกินไป
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ตัวตนของฉันย้อนกลับมาำทำร้ายตัวเองได้อย่างร้ายกาจ

แต่เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา...อาจจะดีกว่า เพราะตัวตนของฉัน 'ทำร้าย' คนอื่นมาเยอะเหมือนกัน
ฉันพยายามที่จะเป็นอย่างที่ใครๆต้องการ...แต่ก็ได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น


สุดท้ายแล้วฉันก็คือฉันที่ต้องทรมานที่ทั้งอยากและไม่อยากเป็นตัวของตัวเอง




เวลาที่ผ่านมา ทำให้ฉันคิดได้ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ย้อนกลับเป็น 'อย่างเก่า' ไม่ได้อีก
ราวกับว่า ครอบครัวของฉัน...คงจะลืมตัวตนที่แท้จริงของฉันไปแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะแสดงออกว่าไม่คาดหวัง...แต่ฉันรู้ว่าพวกเขาหวังมาก
ส่วนฉันน่ะหรือ...เลิกหวังอะไรกับตัวเองไปนานแล้ว
จนกระทั่งเฮือกสุดท้าย ที่ว่าชีวิตมันแทบจะไม่มีอะไรให้เสีย ฉันนึกถึงพ่อกับแม่ แล้วฉันก็ต้องสู้ขึ้นมาอีกแม้ว่าในใจนั้นอยากจะตายๆไปให้พ้นๆก็ตาม



ชีวิตที่ถูกปล่อย ยึดเหนี่ยวอยู่กับความจริงที่ใครๆก็อยากจะลืมเพียงอย่างเดียว ฉันเลือกที่จะจำมันไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ให้ทำตัวไม่ดี แต่ฉันไม่อยากให้มันมาทำร้ายฉันอีก ฉันอยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น แต่ก็ทำได้แค่ครึ่งเดียว ฉันไม่พยายาม ไม่จริงจังกับอะไรมานานมากแล้ว


ฉันไม่อยากท้ออีกแล้ว มันนานเกินไปแล้ว ทรมานเกินไปแล้ว แม้เพื่อนๆจะรับรู้แต่คนที่จะช่วยได้ก็มีแต่เพียงตัวฉันเองเท่านั้น ฉันต้องเข้มแข็ง (ไปถึงไหน??)




บอกแล้ว Entry นี้ เพ้อเจ้อ อย่าอ่าน
ได้ระบายอารมณ์บ้างก็ดีเหมือนกัน


แม้ว่ามันจะไม่ได้เสี้ยวนึงเลยก็ตาม...


ปล. ไม่ว่าจะข้ออ้างใดๆ สุดท้ายฉันก็ต้องขยันให้ได้ (หลายคนบอกว่า แกก็พูดงี้ทุกปี ไม่เห็นจะขยันขึ้นเลย...สนิมกินไปแล้วนี่ฝ่า T^T)

26 มิถุนายน 2553

ปัญหาชีวิต

คุณรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนทั่วไปไหม?
คุณรู้สึกว่าตัวเอง 'ประหลาด' กว่าคนอื่นๆไหม?
คุณมีปัญหาที่รู้ดีว่าไม่อาจปรึกษาใครได้ไหม?
คุณเคยเก็บ 'ความลับ' ไว้กับตัวซัก 7 ปี แล้วค่อยบอกเพื่อนสนิทบ้างไหม?
คุณเคยอยากฆ่าตัวตายตั้งแต่อยู่ ป.2 ไหม?
คุณเคยจิตตกจนผมบางลงไปเกือบครึ่งไหม?
คุณคิดว่า 'ชีวิตมาได้ถึงขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว' หรือเปล่า?
คุณคิดว่าเพื่อนเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากที่สุดไหม?
คุณเคยยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบานป่าวประกาศว่าชาตินี้จะโสดบ้างไหม?
คุณใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่คุณไม่ควรจะอยู่หรือเปล่า?
คุณวางแผนจะไปให้พ้นจากที่ที่คุณเคยอยู่ตั้งแต่ ม.ต้น หรือเปล่า?


คุณเคยรู้ตัวไหม ว่า คุณน่ะ กำลัง 'ป่วย' ???


อ่านเผินๆก็ดูธรรมดาอยู่หรอก แต่บ่อยครั้งเหลือเกินที่ต้องมานั่งฟังปัญหาที่ไม่ว่ามองมุมไหนก็เรื่องเล็กเสียเหลือเกิน หรือเราเอาตัวเองเป็นใหญ่ก็ไม่รู้ได้ แต่แค่ปัญหาเรื่องเดียวก็เปลี่ยนทั้งนิสัย ทางเดินชีวิต ทัศนคติต่างๆ มาไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว จิตตกสุดๆ จนคิดว่าถ้าแย่กว่านี้ก็ควรไปตายได้แล้ว...ก็เคยมาแล้ว ดูเหมือนร้ายแรง แต่เอาเข้าจริงปัญหาของเราไม่ได้หนักหนาอะไรนักหรอก


เพียงแต่มันไม่มีทางแก้ไข ครั้นจะลืมก็เหมือนลืมสกิลติดตัว...ก็เท่านั้นเอง


เอ่อ...แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียนะ ข้อดีก็ถมไป อย่างน้อยเราก็มีมุมมองอะไรที่ประหลาดกว่าชาวบ้านเค้าดีน่ะ




ความฝันในตอนนี้มีเยอะแยะมากมาย อยากเขียนนิยายดีๆซักเรื่องบ้างล่ะ อยากรวยบ้างล่ะ อยากไปเที่ยวรอบโลกบ้างล่ะ


แต่ความฝันแรกสุดในชีวิต...

ก็แค่อยากเป็นคนปกติ...เท่านั้นเอง



ปล. บล็อกตอนนี้โคตรเพ้อเจ้อเลยว่ะ แต่เป็นความจริงทุกประการ
ปล2. บล็อกตอนนี้ส่งให้อ่านเป็นรายบุคคล ใครที่ไม่ได้ส่งให้อ่านแต่เสือกอ่าน ก็...นะ

1 มิถุนายน 2553

Dear Na Sao & Na Ken

...พิมพ์ไป 3 ย่อหน้ากระดาษ จู่ๆ ไฟดับ หายหมดเลย T^T พิมพ์ใหม่ก็ได้

I was typing for 3 paragraphs and then electricity shut down T^T alright, I can type them again.


ภาษาไทยก่อน

สวัสดีน้าสาวและน้าเคนที่เคารพรัก การ์ดใบนี้ถึงมือช้ากว่าที่คาดหมายไว้มากเนื่องจากหนูรอให้อัลบั้มรูปเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงเขียน link ของบล็อกนี้ลงไปในการ์ดให้น้าสาวและน้าเคน ส่วนอัลบั้มรูปก็นี่ค่ะ http://picasaweb.google.com/phatpeth อัลบั้มนี่จะคอยอัพเดทเรื่อยๆ ว่างๆก็เข้ามาดูรูปได้ค่ะ โดยเฉพาะรูปหนูตอนเด็กๆที่ถ่ายคู่กับน้าสาว ที่น้าสาวบอกให้หนูอัพไง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อัพล่ะ

หนูไม่มีหัวศิลป์เท่าไหร่เลยเอารูปที่ถ่ายมานี่แหละทำเป็นการ์ดส่งไปให้ ไม่สวยอะไรยังไงก็ขออภัยด้วยนะขอรับ

ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณน้าสาวและน้าเคนมากๆ ที่่ให้การต้อนรับและเลี้ยงดูปูเสื่อหลานคนนี้เป็นอย่างดี (กลับมาไทยอ้วนขึ้น 2 กก.) พาไปเที่ยวที่่ที่น่าสนใจ พาไปเรียนภาษาเพิ่ม พาไปกินอะไรแจ่มๆ คอยรับคอยส่งตลอด ให้ที่พักพิงพร้อมการ์ตูน ซีรีย์และ Mtv ในห้องนอน ขอบคุณ ขอบคุณ สำหรับประสบการณ์ 5 สัปดาห์ในอเมริกาอันแสนวิเศษนี่ หากมีโอกาสน้าสาวกับน้าเคนมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้ง หนูมีร้านอาหารเตรียมพาไปแล้ว การันตีความอร่อย หุหุ

แล้วก็ต้องขอโทษในหลายๆ เรื่องที่ทำให้ไม่พอใจบ้าง บางเรื่องหนูเฟอะฟะ บางเรื่องหนูขี้ลืม บางเรื่องหนูไม่รู้ ก็ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี่ด้วย อย่าโกรธหนูน้า

สุดท้ายนี้ ขอให้น้าสาวและน้าเคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ตั้งใจจะทำอะไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จ การไปเที่ยวอเมริกาในครั้งนี้หนูจะอยู่ในใจหนูตลอดไป ^^

รักและคิดถึงทุกคน (รวมมอลลี่ด้วย ^^)

แพร



In English

Hello Aunty Sao & Uncle Ken !

I'm sorry that this card is handed in to you later than expected since I had to finish my photo albums first, and I did. Here is their URL, http://picasaweb.google.com/phatpeth. You can get accessed when you are free as the album has been updated intermittenly. I will soon upload the photos I (when being young) took with Na Sao as she would like me to do so, please wait a little bit more ;)

I had no idea which photos to be uploaded so I picked the one taken by myself, made the card of it and sent it to you. I'm sorry if it happens to turn unlovely for you.

Anyway, I must say thank you very much for the wonderful accommodation, great treat(as I have gained weight for 2 kgs all along period I had stayed there!), taking me to lots of interesting places and nice restaurants, helping me apply to adult school to improve my English skill, providing me the private bedroom with a good TV, and most of all, your understanding and lovely caring you have had to me, which nothing totally compares. I do appreciate this wonderful 5- week experience. If you have a chance to visit Thailand, I would love to take you to some touchy spots and greet you by the bestest welcome I can make as returns for sure.


And, well, I'm really sorry for any matter I made that might bring you down. I sometimes may be disordered, sometimes forgetful and sometimes even didn't realise that I had already done something wrong. I promise to improve myself and never repeat that upsetting stuff again as the best apology I can make.

Finally, I would like to wish you great health, happiness and success in everything you work on. And I have to say again and again that my pleaseful stay in USA this time will be tattooed in my mind. As the best apology I can make for you two.

Love and miss you all (including Molly),

Prae



ปล. หนูให้เพื่อนสนิทช่วยแก้แกรมม่าให้ขนานใหญ่เลย กลัวน้าเคนอ่านไม่รู้เรื่อง

26 พฤษภาคม 2553

อาณาจักรคานทองนิเวศน์

คนรอบตัวข้าพเจ้าขอรับ เลิกเพ้อกันได้แล้วขอรับ

ถ้าปัญหาหัวใจของท่านมากนัก คิดไม่ตก อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน ข้าพเจ้ามีโครงการเมกะโปรเจ็กมานำเสนอเพื่อชีวิตที่ดีกว่า (รับรองว่าเงินที่จะนำมาใช้ล้วนแต่มาจากน้ำพักน้ำแรงตนเองทั้งสิ้น ไม่ได้มาจากการกินปูนกินกระเบื้องแต่ประการใด ...)


อาณาจักรคานทองนิเวศน์

คุณสมบัติของผู้อยู่อาศัย
  • โสด ... ไม่ใช่แค่ไม่มีทะเบียนสมรส แต่ต้องโสดจริงๆ ห้ามมีแฟน ไม่ว่าจะเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน
  • อนุโลมให้สำหรับผู้ที่เคยไม่โสด หรือแม้กระทั่งผ่านการหย่าร้าง ... มีลูกติดมาด้วยก็ไม่ว่านะตัวเอง 555+
  • เป็นบุคคลผู้รักในการท่องเที่ยว หากเห็นแก่กินจะพิจารณาเป็นพิเศษ (แบบว่าคนเริ่มโปรเจ็กเห็นแก่กินง่ะ อาจมีตระเวณทัวร์ของกินบ่อย เอิ๊กๆ)
  • เป็นเพื่อนกับข้าพเจ้า ... แหงสิ จะมาอยู่ชายคาเดียวกันแล้วก็ต้องรู้จักกันก่อนป่ะ ???
  • ผู้หญิงเท่านั้น ... สำหรับผู้ชายที่สนใจ เอาไอเดียนี้ไปตั้งอีกโครงการได้นะเธอว์
  • มีตังค์ ... ไม่มีตังค์แล้วจะเอาเงินที่ไหนซื้อที่ดิน ซื้ออิฐซื้อปูนสร้างบ้านล่ะค้าบ
ำเล-ที่ตั้ง-แบบแปลน
  • ทางเหนือ ไม่ก็อีสาน แบบว่าหนี กทม. น้ำท่วมอะ เหอๆ
  • เอาแบบที่ดินเยอะๆ ต้นไม้แยะๆ ร่มรื่นๆ โดยเฉพาะพืชผักสวนครัว ปลูกเอง กินเอง อิอิ
  • ใกล้ตัวเมืองนิดนึง เพราะกว่าสร้างเสร็จคงแก่หงำเหงือกกันหมดแล้ว ใกล้ รพ. ศูนย์การค้าบ้างก็ดี
  • สร้างเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ จะได้ไปมาหาสู่กันง่ายขึ้น ใครเจ็บไข้อันใดจะได้ช่วยๆกัน ^^
  • ห้องนอนมีห้องน้ำ ทีวี คอมพิวเตอร์ ไวร์เลส แม้กระทั่ง ตู้เย็น หากต้องการ (ป้องกันสงครามที่จะบังเิกิด ... อย่างที่มันเกิดอยู่เป็นประจำที่บ้านของข้าพเจ้าเอง = =) เรามีความเป็นส่วนตัวให้ท่านอย่างสูงสุด เพราะมันคือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมานานแล้ว T^T
  • มีห้องสมุดเล็กๆ ภายในบ้าน แชร์หนังสือร่วมกันอ่าน (เริ่มออกแนวสนองตัณหาผู้ก่อตั้งโปรเจ็กแฮะ)
  • ครัวแยก ไทย กะ ฝรั่ง จ้างแม่ครัวมือฉมังมาทำกับข้าว ... ไม่งั้นก็เปิดตำราทำเองซะเลย 555+

...โปรเจ็กนี้เริ่มเพ้อๆแฮะ


หากท่านใดสนใจ กรุณาทิ้ง comment ไว้ เราสามารถคุยกันต่อเพื่อเพิ่มเติมรายละเอียดอื่นๆอีกได้ หากสมัครตอนนี้ กรุณาแน่ใจด้วยว่าขณะนี้คุณกำลังโสด และจะโสดต่อไปในอนาคต ...


เหมือนข้าพเจ้า ^^


การไม่มีแฟนเป็นลาบ เอ้ย ลาภอันประเสริฐ ...


credit: ข้าพเจ้า และหนู com cominape



ปล.โปรเจ็กนี้ ไม่ต้องกังวล ไม่ล่มแน่ อย่างน้อยมีข้าพเจ้ารอตายคาคานฯ แหงแก๋ 1 ราย

9 พฤษภาคม 2553

ดูดวงโคตรแม่น

วันนี้ข้าพเจ้าและเหล่า cominape ชาวแก๊งสมัย ม.ต้น เลยทีเดียว อันประกอบด้วย COm (หมอวชิระ) MINt (สาวรัฐศาสตร์ ฬ) NAPat (ตูเอง = =) และ PEach (เพิ่งเข้า เภสัชมหิดลมาหมาดๆ อิอิ) ได้ไปทัวร์ของกิน ณ ท่าพระจันทร์ (มะตะบะไก่ ^^) แล้วก็ขนมหวานสองร้าน ผิดแผนไปหมด เดินไกลมาก ร้อนก็ร้อน เหงื่อท่วมตัว T^T


แต่ท่าพระจันทร์นี่ ชาวแก๊งได้ไปดูดวง (แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ) มาขำๆกันด้วย แต่ขำไม่ออกตอนจ่ายตังค์ เหอะๆ


ขออนุญาตคัดเฉพาะบางส่วนมาลง เนื่องจากบางเรื่องมันส่วนตัวนิดนึงนะค้าบ อุอุ



หมอดูบอกว่า MINt โก๊ะมาก
- สงสัยออร่าออก แต่อันนี้ยกให้เลย แม่นสุดๆ วันนี้มันลืมของ ต้องย้อนกลับไปเอาตั้งสองรอบ = =

หมอดูบอกว่า ทุกคน ผลการเรียนดี
- ของคนอื่นคงดี แต่ของข้าพเจ้าน่ะ D ชัดๆ T^T

หมอดูบอกว่า ข้าพเจ้า แพ้เครื่องสำอาง
- ดูจากหน้าที่สิวเห่อของชั้นล่ะเซ่ แต่'ทานโทษ เค้าแพ้แดดว่ะ 555

หมอดูบอกว่า COm หัวดีที่สุดในชาวแ๊ก๊ง
- ได้ยินพวกเราหลุดว่ามันเป็นหมอล่ะเซ่ หึหึ...

หมอดูบอกว่า MINt และ ข้าพเจ้า เป็นคนคิดมาก
- เพราะเราสองตัวเกิดวันจันทร์เหมือนกันไงล่ะ ดวงมันเลยออกมาคล้ายๆกันพิกล... (ไม่เชื่อไป search ดวงคนเกิดวันจันทร์ตามเน็ตได้เลย เอาหัวคน search เป็นประกัน !!)

หมอดูบอกว่า MINt และ PEach จะได้รับมรดก
- โนคอมเม้น = =

หมอดูบอกว่า ทุกคน ให้ระวังคำพูด โดยเฉพาะ ข้าพเจ้า รู้สึกจะโดนหนักสุดเรื่องล้อเล่น
- คงเห็นวิธีการที่ข้าพเจ้าใช้พูดกับเพื่อนสนิทกระมัง มันแอบโหดน่ะ แฮ่ๆ

หมอดูบอกว่า PEach และ ข้าพเจ้า จะมีคนอุปถัมภ์เป็นผู้หญิงร่างอ้วน ขาว
- สงสัยจะเป็นเหมย หยี่...

หมอดูบอกว่า ทุกคน มีโอกาสรวย
- สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆ => ณ จุดๆนี้ เค้าสังเกตกันจากอะไรหว่าาา

หมอดูบอกว่า ข้าพเจ้า มีโอกาสได้รถปีนี้ !!
- กรี๊ดดดดดดด ข้อนี้อยากให้แม่นมากๆ 555+

หมอดูบอกว่า ทุกคน มีดวงไปเรียนต่อ+เดินทางไปต่างประเทศ (แต่ในรายละเอียดลงลึก แต่ละคนไม่เหมือนกันนะจ้ะ หุหุ)
- ก็งั้นมั้ง เหอๆๆๆๆ สงสัยคงไปเที่ยวด้วยกัน 555+


ฯลฯ


สรุปโดยรวม ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังอย่างแรง นึกว่าจะดูมันกว่านี้ (ไม่คุ้มตังค์เล้ยย) แบบว่า เอาแค่วันเกิดไปคำนวณ (อย่างนี้คนเกิดวันเดียวกะข้าพเจ้า ก็คงมีโอกาสได้รถปีนี้เหมือนกันหมดเด้ะ) ไม่เห็นเอาเวลาตกฟาก หรือ ข้างขึ้นข้างแรมอะไรทำนองนี้ไปคำนวณเลย ลายมือก็ดูแบบพื้นฐาน หาในเน็ตเอาก็ได้สำหรับบางเรื่อง (เห้ย ตูกลายเป็นคนบ้าดวงตั้งแต่เมื่อไหร่ = =) เหอๆ แล้วดูดวง ก็ไม่ได้ดูพื้นดวงด้วย ดูแค่ปัจจุบัน กะอนาคต คร่าวๆ ไม่มันเลย เห้อออ...


แบบว่าตอนยังอยู่ในท้องแม่ โดนทำนายมาแบบ ดีเว่อๆ แต่ปัจจุบันชีวิตมันช่างอนาถเสียนี่กระไร แล้วก็ลายมือข้างขวามันแปลกๆ พิลึกกึกกือ ก็เลยอยากดูหน่อย (แต่ถ้าถามว่าเชื่อไหม ก็เชื่อส่วนที่มันดีๆ อย่างเรื่องได้รถนี่ 555+ คาดหวังสูงไปไหม)


นี่คัดมาให้ชมแบบคร่าวๆ เจ้าของบล็อกจะสื่อว่า หมอดูล้วนแต่ใช้จิตวิทยากับหลักสถิติกับคนดูดวงทั้งสิ้น ยิ่งคนที่ไปหาหมอดูแบบมีปัญหาอยู่แล้ว ยิ่งโดนเรียกตังค์เยอะเลย หึหึ...(หนึ่งในชาวแก๊งก็เกือบโดน แต่ไหวตัวทัน ฮ่าๆ)


ฉะนั้นดูขำๆ อย่าซีเรียสจ้า


(...แต่ตูซีเรียสกะเงินที่เสียไป แสรดดดดดด)

27 เมษายน 2553

กระเป๋า ความทรงจำ การลาจาก

ขึ้นหัวเรื่องซะซึ้ง พอดีว่าใกล้จะกลับไทยเต็มแก่แล้ว ก็ต้องเตรียมซื้อของฝาก จัดกระเป๋า บลาๆ แต่พอพูดถึงกระเป๋าเดินทางเนี่ย ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องเก่าๆบางเรื่อง

กระเป๋าใบหนึ่ง...

เกริ่นก่อน...แม่ของข้าพเจ้าพื้นเพเป็นคน จ.นครศรีธรรมราช สมัยเด็กๆทุกปิดเทอมใหญ่ข้าพเจ้ากับน้องสาวก็จะไปอยู่ยาวที่บ้านของคุณยาย ดูการ์ตูนใน UBC สมัยนั้น (ที่บ้านตูไม่มี = =) ซื้อของกินร้านคุณยายข้างๆ วันดีคืนดีก็แว้บไปเล่นเกมกะน้องเพื่อนข้างบ้าน (แบบว่า...ที่บ้านแม่ไม่ยอมซื้อเกมให้เล่นเลยง่ะ T^T) พอถึงสงกรานต์ก็เล่นน้ำลัลล้า ยิ่งสมัยนั้นสิ้นเดือนเมษาแล้วมันก็ยังสาดกันอยู่เลย สนุกไหมล่ะ

ชีวิตก็เฮฮาปาจิงโกะตามประสา แต่ก็มีหนนึงต้องไปบ้านคุณยายทั้งที่ไม่ใช่ช่วงปิดเทอม...คุณป้าเสีย

จำได้ว่าจัดงานศพที่บ้าน ทั้งซอยยังกะงานวัด มีสายไหมขายด้วย เหอๆ สงสัยคุณป้าจะเป็นคนใหญ่คนโต เอิ๊กๆ

กาลเวลาผ่านไป ข้าพเจ้าโตขึ้น ได้ไปเที่ยวหลายที่มากขึ้น โอกาสกลับนครฯ ก็น้อยลง

อยู่มาวันหนึ่ง คุณยายป่วยต้องผ่านิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (คุณยายชอบกินแกงหน่อไม้่ = =) คุณแม่ก็กลับไปเยี่ยม แล้วก็พาคุณยายขึ้นมาด้วยเลย เพราะคุณยายอายุเยอะแล้ว เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับการพูด แล้วก็โรคหัวใจอีก พามาอยู่ใกล้ลูกหลานและใกล้มือหมอหน่อยย่อมจะดีกว่า

พร้อมกระเป๋าใบหนึ่ง...

รู้แค่ว่าเป็นกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมของคุณป้า ข้างในคงเก็บเอกสารสำคัญ สีครีมลายสก๊อต แม่เอามาวางไว้ข้างฝาห้อง ติดกับที่นอนของข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ข้างเตียงของพ่อกับแม่ ข้าพเจ้าก็นอนหลับอยู่ข้างกระเป๋าใบนั้น บางทีถึงกับเอาหน้าไปแนบชิดเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้นอนข้างทุกวันนะ สลับกับน้องไปนอนกับคุณยายอีกห้องเป็นประจำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณยายป่วยหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาลร่วม 20 วัน แม้คืนที่แม่โทรมาบอกที่บ้านว่าคุณยายเสียแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังคงนอนข้างกระเป๋าใบนั้น

จวบจนกระทั่งงานศพจบลง จนได้ฤกษ์ลอยอังคาร ครอบครัวและญาติสนิทคนอื่นได้ลงเรือไปยังกลางทะเล แม่ได้นำอัฐิของคุณยายใส่ในห่อผ้าขาวพร้อมบรรดากลีบดอกไม้นานาชนิดเตรียมลอย

แล้วกระเป๋าใบนั้น...มาอยู่บนเรือทำไม ???

คุณแม่เปิดกระเป๋าออกมา ข้างในเป็นห่อผ้าสองห่อ ห่อแรกเป็นอัฐิของคุณป้าที่เสียไปกว่าสิบปีแล้ว ส่วนอีกห่อเป็นอัฐิรวมของตาและทวด(พ่อของตา) ที่อัฐิดันมารวมกันคงเพราะจัดพิีธีศพพร้อมกัน

คุณแม่คงตั้งใจจะเอามาลอยอังคารทีเดียวตั้งแต่แรกสินะ นะ นะ ...

ปล่อยให้ลูกสาวนอนเฝ้าอัฐิบรรพบุรุษมาตั้งสองปี !!!

20 เมษายน 2553

วิถีทางการดำรงชีพแห่งอเมริกา (Part I)

ตั้งชื่อหัวข้อซะหรู ไม่ใช่อะไร แค่จะพล่ามเรื่องของกิน เอิ๊กๆ

ขออนุญาตเล่าแบบผ่านๆนะ บล็อกนี้แค่ต้องการให้เห็นบรรยากาศโดยรวม

วันแรกที่ได้นอนหลับที่บ้านน้าที่ Menlo Park, CA (นอนเที่ยงคืน)ตื่นบ่ายสาม = =

จริงๆ ตอนแรกคิดว่าบ่ายสองล่ะ แต่ข้าพเจ้าดันดูนาฬิกาที่ยังไม่ได้ปรับเวลาช่วงเปลี่ยนฤดู เห้ออ~

มื้อแรกที่ได้กิน ไม่อยากจะพูดว่าเป็นอาหารไทย ข้าว น้ำพริก ผักต้ม เป็ดผัดเผ็ด (สมกะฉายาจริงจริ๊งง)

แต่มื้อตอนบ่ายสามคือ...มาม่าต้มยำกุ้งค่ะ 55555



วันต่อๆมา หลังจากที่น้าเลิกงานก็มักจะมารับพาทัวร์เมือง แต่วันแรกที่ลงจากเครื่องบินก็ได้ไปที่หรูเลย Stanford Shopping Center ก่อนหน้าไปที่หรูก็สำรวจมหาลัย(ในฝัน) ไปพอสมควร มหาลัยเค้าสวยโฮกจริงๆอะ แต่ไม่มีรูปเลย ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อกล้อง = =


...นอกเรื่องแล้ว โอเค ข้าพเจ้าได้ไปกินร้านเบเกอรี่ในตำนาน (ต้องเรียกงี้เพราะของเค้าดีจริง วันหยุดคิวจะยาวล้นออกมานอกร้านเลยล่ะ) น้าสั่งแซนวิชไก่งวงมาให้ลองทาน แม่เจ้า อร่อยโคตร เกิดมาไม่เคยกินแซนวิชไฮโซขนาดนี้

ลักษณะของแซนวิชไม่เหมือนบ้านเรานะ เค้าจะใช้ขนมปังแถวยาว (สามารถเลือกชนิดขนมปังได้ด้วย ในบางร้าน) ราคาไทยราวๆ สองร้อยกว่าบาท แต่แบ่งครึ่งกันกินกับน้าอิ่มสบายเลยทีเดียว อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือชีสในแซนวิช คนไทยนิยมกินเยิ้มๆ (ตัวอย่างจาก 7-11) แต่ที่อเมริกาไม่เลย ชีสจะยังคงร้อนและเป็นแผ่นน่ากินสุดๆ (เฉพาะร้านนี้นะ ร้านอื่นส่วนใหญ่แซนวิชจะเย็นชืด)

ที่ประทับใจร้านนี้สุดๆ ก็คือ ทางร้านบอกว่าเค้าอบขนมปังเกรียมไป จริงๆก็ไม่มากหรอก ยังพอรับได้ แต่ทางร้านไม่ยอม เดี๋ยวเสียชื่อ ทำให้ใหม่เลย โห สุดๆ

อ่อ...ลืมไป วันแรกที่ไปร้านนี้ปิดอะ ได้ไปกินอีกวันนึง ฮ่าๆๆ

ต่อไปที่ประทับใจแบบ expensive สุดๆ คือร้านช็อกโกแลต ตกแต่งอย่างน่ารัก พนักงานเคาเตอร์เป็นสาวญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษสำเนียงน่ารักมาก อร๊ายย เคาเตอร์วางช็อกโกแลตหลากหลายแบบเป็นชิ้นพอดีคำ น่ารักๆ แต่ราคาไม่น่ารักฟ่ะ = = ชิ้นนึงแม่ง 2 เหรียญกว่า แสรดดดด แต่อร่อยนะเคิฟๆๆ เอิ๊กๆๆๆ


แล้วอาทิตย์แรกของข้่าพเจ้า เป็นอาทิตย์แห่งอาหารไทย โดยเฉพาะ ทำกินเองที่บ้าน เอิ๊กๆๆ (อันที่จริง อาทิตย์ที่สอง สาม หรืออาจจะสี่ด้วย ก็...)

แต่วันดีคืนดี ก็ได้ไปกินนอกบ้านนะ มีวันนึงน้าลากไปกินอาหารเวียดนาม ชื่อร้านว่า Saigon City (รูปถ่ายลงทีหลังนะงับ ขอโทษด้วย ตอนนี้อ่านเอาบรรยากาศไปก่อน เอิ๊กๆ) เอเชียเต็มร้านเลย ไปที่นี่ทำให้รู้จักว่าอาหารไซส์อเมริกันเป็นยังไง = = ซุปชามนึงนี่ ข้าพเจ้าสามารถแบ่งกิน เช้า กลางวัน เย็น ได้สบายๆอะ แต่แหนมเนืองของเค้าอร่อยจริงๆนะเธอววว

อีกวันนึง ได้ไปกินที่ร้าน Bangkok Bay เป็นร้านอาหารไทยสำหรับฝรั่งอย่างแท้จริง ในร้านมีแต่ฝรั่งแก่ๆท่าทางภูมิฐานนั่งรำลึกความหลังกันอยู่ ประเด็นที่ได้ไปร้านนี้คือน้าเคยทำงานที่ร้านนี้มาก่อน อยากให้ข้าพเจ้าไปรู้จักกะผองเพื่อนของน้า แล้วก็นัดเพื่อนของน้าเขยมากินอีกด้วย สนทนาประสาอังกฤษกันทั้งโต๊ะเยย T^T ร้านอาหารนี้เหมาะสำหรับ ผู้ที่กินไม่เผ็ดเลยแม้แต่น้อย มันอร่อยจริงๆอะ แต่อร่อยแบบไม่เผ็ด = =



เยอะล่ะ เอาไว้ Part II กลับไทยค่อยลงรูป กะจะจัดหมวดใน picasa ซะหน่อย

31 มีนาคม 2553

interview our beloved 'Molly-Ja'


ก้าวแรกที่ได้เข้ามาอยู่บ้านที่อเมริกา สมาชิกภายในบ้านที่ข้าพเจ้าเห็นแต่รูป ไม่เคยเห็นตัวจริง ก็ออกมาต้อนรับด้วยการเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาจ้องๆมองๆดมๆแถวขาของข้าพเจ้า


หลังจากที่เราหนึ่งคนกะอีกหนึ่งตัวอยู่ร่วมกันมากว่า 1 อาทิตย์ ข้าพเจ้าก็เริ่มคุยกับเธอ


(อยู่อเมริกา เหงามากขนาดเริ่มคุยกับ...เอิ่มม...)


(อย่าลืมว่า มอลลี่พูดไม่ได้นะขอรับ ฉะนั้นบทสนทนานี้ สมมติล้วนๆ ฮ่าๆๆ)


ข้าพเจ้า: Good Morning Molly! (หลังจากเธอพยายามพังประตูเข้ามาในห้องนอนตอนที่ข้าพเจ้าหลับอยู่)
มอลลี่: ... (เดินเข้ามาดมๆ แถวเตียง แล้วซุกตัวอยู่ที่ผ้าปูหน้าทีวี ที่สำหรับเธอ)
ข้าพเจ้า: (เปิดทีวี นั่งดูซักพักก็เข้าไปหาของกินในครัว)
มอลลี่: (เดินตามอย่างไม่ต้องสงสัย)
ข้าพเจ้า: ฮันแน่ อยากกินล่ะสิ
มอลลี่: ...(ตูฟังภาษาไทยไม่ออกเฟ่ยยย...แต่ก็ยังอุตส่าห์นั่งหมอบท่าคุณทองแดงพร้อมแยกเขี้ยวบอกเป็นนัยว่า ตูหิว = = )
ข้าพเจ้า: (ทำแซนวิชไป คุยกะมอลลี่ไป) อายุเท่าไหร่แล้ว?
มอลลี่: What did you say?
ข้าพเจ้า: (ลืมไป หมาฝรั่ง) How old are you?
มอลลี่: I can't hear you
ข้าพเจ้า: (ลืมไป น้าของข้าพเจ้าบอกว่า มอลลี่อายุ 11 ปีแล้ว และหูก็แทบจะหนวกไปแล้วตามวัย แต่ก็ยังดันทุรังคุยต่อ ซ้ำร้ายยังใช้ภาษาไทยอีก) เอ่อ...งั้นหนูเรียกคุณยายนะ
มอลลี่: จ้ะ หลาน
ข้าพเจ้า: รูปคุณยายตอนยังสาวที่่ติดข้างตู้เย็นงามมากๆ ค่ะ
มอลลี่: จ้ะ
ข้าพเจ้า: แต่คุณยายดูอ้วนกว่าในรูปเยอะเลยหง่าา
มอลลี่: (ก็เล่นเดินตามคนที่มีของกินในมือตลอดเวลา ไม่ให้อ้วนได้ไงล่าาา)
ข้าพเจ้า: คุณยายอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คะ คุณยายเข้าห้องมา แล้วออกไป ทิ้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย รู้ตัวหรือเปล่าคะ
มอลลี่: ... (จ้องแซนวิชตาแป๋ว ไม่สนใจที่ข้าพเจ้าพูด)
ข้าพเจ้า: วันก่อนคุณยายหลับอยู่ข้างเตียงหนู ผายลมด้วยง่ะ เหม็นมากเลย
มอลลี่: (...ตูจากินแซนวิชชชชช)
ข้าพเจ้า: (เดินเตรียมจะเข้าห้องไปดูทีวี ขณะกินแซนวิช)
มอลลี่: (เขย่ากระดิ่ง เป็นสัญญาณว่าอยากออกไปเล่นที่สนามหลังบ้าน)
ข้าพเจ้า: (ออกไปเปิดประตูให้...แลเห็นกระรอกน้อยชะตาขาดตัวนึงอยู่กลางสนาม)
มอลลี่: แง่งงงงงงงงง...กร่อออออ.....ก๊าาาาซซซซซ (นั่นมันเสียงกอสซิลล่าแล่ว = =)


สรุปโดยย่อ

  1. มอลลี่เป็นสุนัขรักสงบ เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่เป็นศัตรูกับกระรอก = =
  2. มอลลี่อายุเยอะมากแล้ว ตั้ง 11 ปีเชียว การได้ยินแย่มาก แต่ถ้าผิวปากดังๆจะยังได้ยินอยู่
  3. สายตายังดีอยู่ ลองเทสต์มาหลายหนแล้ว
  4. ยังคงรักสนุก ชอบให้เล่นด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่เพราะแก่แล้ว (แล้วข้าพเจ้าก็ไม่ชอบเล่นกับหมาซะด้วยสิ ถ้ากับเหมยก็ว่าไปอย่าง หึหึ...)
  5. สุดท้าย ข้อนี้สำคัญมาก มอลลี่ เห็นแก่กินมาก มักจะนั่งรอข้างๆคนกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยม พอกินเสร็จแล้ว ก็จะเดินหาของกินที่หล่นๆร่วงๆ อยู่แถวนั้น จะจำเวลาให้ของว่างได้อย่างแม่นยำ แล้วถ้าไม่มีอะไรทำ มอลลี่ก็จะ นอน อย่างเดียวค่ะ ฮี่ๆๆๆ


23 มีนาคม 2553

ฆาตกรรมอาซิ้มที่นั่งเบาะหลัง = ="

อยากฆ่าคนโว้ยยยยยยย

ทำบุญได้โทษ...โปรดสัตว์ได้บาปปป

เรื่องมันมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าได้ขึ้นเครื่องไฟลท์จากไทเปไปซานฟรานซิสโก เพิ่งไปหาน้าสุดที่ร้าก สายการบิน EVA airline ไม่ได้เช็คข้อมูลไปแต่แรก (น้าจองให้ จ่ายตังค์ให้ หึหึ...) พบว่าเป็นสายการบินของไต้หวัน ไอตอนเที่ยวนั่งจากสุวรรณภูมิลงไทเปก็โออยู่หรอก บริการทุกระดับประทับใจ แถมไร้คนนั่งข้างๆ 555 แต่พอไฟลท์นี้นี่สิ

แรกเริ่มเดิมที ข้าพเจ้าได้นั่งข้างๆ ผู้หญิงคนนึง ดูโอเคไม่น่ามีปัญหา แต่พี่สา่วเธอเดินมาขอสลับที่กะข้าพเจ้่า ข้าพเจ้าก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะเดินทางมาคนเดียวอยู่แล้ว

แต่ปัญหาคือ อาซิ้มที่นั่งอยู่ข้างหลังพี่สาวของคนที่นั่งข้างเรานี่สิ T^T

พอเรานั่ง เราก็ต้องวางแขนตรงที่เท้าแขนกันใช่ไหม ข้าพเจ้าก็วางแขน ข้อศอกไปโดนอะไรบางอย่างเข้า ... ทีแรกหันไปมอง ก็นึกว่าเป็นสัมภาระไรบางอย่างที่ยื่นมาจากข้างหลัง ก็ไม่ได้ติดใจอะไร

แต่...

พอหันไปพิจารณาอีกรอบ รู้สึกเหมือนมีอะไรคล้ายๆเล็บอยู่ในถุงนั้นแฮะ = = เฮือกกก นี่มัีนเท้าชัดๆ (ตอนแรกไม่สังเกตเพราะแกใส่ถุงน่อง) โอ้วก้อดดด หลังจากนั้นอาซิ้มแกก็เริ่มล้ำเส้น เหยียดเท้ามาเรื่อย ยังดีพอมีที่วางแขนบ้างไรบ้าง ขณะกำลังคิดประโยคภาษาอังกฤษเอาไว้บอกเจ๊แกอยู่นั่น เครื่องก็เริ่มขึ้น เจ๊แกก็เอาเท้าลง เห้ออ พอเครื่องขึ้นเรียบร้อยปุ๊บ ก็เสิร์ฟอาหาร (เลทกว่าที่คิดไว้เยอะ หรือตอนไฟลท์จากสุวรรณภูมิข้าพเจ้าหลับอยู่หว่า) เท้าเจ๊แกก็หายไปสักพัก พอได้เวลานอน แม่มมมม...นรกชัดๆ

โชคยังดีที่คนนั่งข้างข้าพเจ้าแล้วน่าจะโดนเท้าอาซิ้มแกด้วยเป็นผู้ชาย ใส่สูทผูกไทอารมณ์เหมือนไปดูงานต่างประเทศ เอาศอกเศิกไรมาโดนเท้าเจ๊แกบ้าง (อันที่จริงข้าพเจ้าก็พยายามเอาศอกดันแบบให้สำนึกบ้างก็แล้ว ส่งสายตาอาฆาตบ้างก็แล้ว แต่แม่งงง...)

ตูไม่เข้าใจ แอร์โฮสเตสไม่คิดจะบอกอะไรเลยหรือไงวะ
(เอ่อ..หรือว่าคนจีนเค้าถือว่าเป็นเรื่องปกติ?)

หลังจากการนอนคู้ตัวสุดหิน (เท้าอาซิ้ม+ผู้ชายข้างๆ เบี่ยงตัวมาหาข้าพเจ้าเยอะไปหน่อย) ตื่นมาคอเคล็ดอีกต่างหาก ข้าพเจ้าก็ถูกปลุกด้วยมื้อเช้า ดีนะที่อาหารของสายการบินนี้อร่อย ทำให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง (ว่างๆจะรีวิวเน้ออ) แต่แล้ว เท้าอีกแล้วครับ...

ตูข้องใจ อาซิ้มเฮงซวยนี่มีปัญหาอะไรกับเท้ามากนักวะ...???

ไม่ใช่แค่นั้น ทุกครั้งเวลาซิ้มแกจะเข้าห้องน้ำ แกจะต้องดึงที่นั่งข้าพเจ้าลงด้วยทุกครั้ง = = เวลานั่งปกติถ้าเท้าไม่วางพาดที่รองแขนก็ชอบโดนเบาะให้ข้่าพเจ้ารำคาญหลัีงเล่นอยู่แล้ว

... รอบสุดท้ายที่แกเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานั่ง ข้าพเจ้ามีปัญหาเรื่องการกรอก immigration อยู่ กำลังจะโบกมือเรียกแอร์ไทยซึ่งกำลังเดินผ่านมาพอดี แต่แล้วอาซิ้มแกก็ดึงเบาะลงนั่ง ... แต่แกดึงผมตูลงไปด้วย! อ๊ากกกกก ... แล้วพี่แอร์ก็เดินผ่านไป จบกัลลล (สุดท้ายต้องถามแอร์คนจีนง่ะ ซึ่งก็ตอบให้เป็นอย่างดี)

แม้กระทั่งตอนเครื่องกำลังลงจอด เจ๊แกก็ยังอุตส่าห์เอาเท้าวางบนที่รองแขนข้าพเจ้าอีก


สิ้นสุดความทรมาน สิริรวมเวลาราวๆ 11 ชั่วโมง


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
  1. ก่อนขึ้นเครื่องไปต่างประเทศ ฝึกภาษาอังกฤษไปให้เก่งๆก่อน
  2. ...อ้อ ฝึกคำด่าไว้บ้่างจะดีมาก
  3. แต่ถ้าไม่สามารถทำ 2 ข้อข้่างต้นได้ เช็คสายการบินดีๆก่อน ถ้าไม่อยากเจอเจ๊กมารยาทแย่ (พอจะรู้นิสัยคนจีนมาบ้างตอนระหว่างทริปไปมาเก๊า นี่เป็นอีกสาเหตุที่ไม่หันไปบอก ถ้าบอกแอร์น่าจะได้แค่ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นไม่รู้จะเจออะไรหนักกว่านี้บ้าง)
  4. อย่าคิดว่าที่นั่งติดทางเดินไม่ดี ถึงแม้จะเจอคนเดินผ่านไปมาบ่อยเกิน แต่คุณจะได้อาหารก่อน แล้วยิ่งนั่งเครื่องไปคนเดียว ที่นั่งริมทางเดินยิ่งเวิร์กมาก อยากออกไปเอาของหรือไปเข้าห้องน้ำเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างผู้ชายที่นั่งข้างๆข้าพเจ้่านี่ 11 ชม. ไม่เห็นเดินออกไปไหนเลย

บล็อกต่อไป คงบ่นเรื่องตอนผ่านด่าน ไม่งั้นก็ของกิน 555

20 มีนาคม 2553

OOTOYA - มะม่วงยายกล่ำ - วันแสนเซ็ง

เกริ่นก่อน...วันนี้แม่ลากข้าพเจ้าไปซื้อของต่างๆนานาก่อนไปอเมริกา แต่ดูเหมือนว่าแม่จะมีธุระก่อน หึย คิดแล้วเซ็งโลกมาก ทำอีท่าไหนไม่ทราบข้าพเจ้าก็ได้มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในร้าน OOTOYA สาขาจามจุรีสแควร์ กับเพื่อนเก่าของแม่อีกคน...เพื่อนแม่น่ารักดีนะ อัธยาศัยดี ฟังๆดูน่าจะเป็นครูอยู่ที่สาธิตจุฬาฯ...เข้าเรื่องอาหารกันดีกว่า 555+ แม่กับเพื่อนแม่สั่ง เซ็ตปลาฮิวชิไดย่างถ่าน ส่วนข้าพเจ้าสั่ง เซ็ตสลัดไก่ย่างถ่านซอสเบซิล (Basil ก็ใบโหระพานั่นแหละ ร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ กระแดะใช้ภาษาปะกิด เหอๆๆ) ข้าพเจ้าไม่พลาดสั่งของหวานอย่าง น้ำเต้าหู้ราดซอสดำ (ชื่อเมนูประมาณนี้แหละ)


(รายละเอียดเพิ่มเติม เข้าไปตามลิงค์นะขอรับ ขี้เกียจพล่าม)


วิจารณ์อาหาร:

แม่ = "รู้งี้สั่งปลาแซลมอนดีกว่า ไม่ไหวเลย" ... คือแม่ข้าพเจ้าท่านชอบอาหารต่างชาติแบบที่ปรับรสให้ถูกปากคนไทยแล้วอะ แล้วไอปลาฮิวชิไดนี่มันย่างถ่านมาแบบแห้งๆ อารมณ์เหมือนคนญี่ปุ่นทำกินเอง (ตาม
ที่แม่วิจารณ์)

ข้าพเจ้า = "ตูจ่ายตั้ง 200 เผื่อกินสลัดผักเคียงสเต๊กใช่ไหม?" ... ไม่รู้ว่าคาดหวังสูงไปนิดหรืออาหารมันกากจริงๆ ในเมนูโฆษณาอย่างดีว่าสลัดราดด้วยน้ำซีซาร์สลัด คนอ่านก็เพ้อถึงชีสสิคับ แม่งง น้ำสลัดก็ให้น้อย ซอสเบซิลก็ให้มาจึ๋งนึง หารสชาติไม่เจอเลย ที่แค้นใจที่สุดเห็นจะเป็นตัวผักที่ให้มาเยอะแต่มีแค่กะหล่ำปลีซอยเป็นหลัก ซึ่งหลายๆคนก็รู้นะว่าไอกะหล่ำปลีเนี่ยมันหาเจอได้ตามจานสเต็กตามร้านแถวอมรพันธ์ T^T แต่อัพเกรดนิดนึง รู้สึกว่ากะหล่ำปลีมันจะนุ่มปากกว่าหน่อย เคี้ยวง่าย 555+

แต่ของหวานมันคนละเรื่องกันนะ "ไอ้น้ำเต้าหู้เนี่ย สุดยอดมาก อ๊ากกกก" เข้าไปนั่ง OOTOYA เพื่อสั่งน้ำเต้าหู้แก้วเดียวได้ป่ะ คือมันเข้มข้นสุดยอด แล้วไอซอสสีดำที่ให้ราดที่แท้มันคือคาราเมล แต่หากลิ่นความเป็นคาราเมลแทบไม่เจอ ซ้ำร้ายยังเป็นสีดำอีก แปลกแฮะ อันนี้ก็เอาไว้เติมความหวานพอประมาณ แต่...ขนาดยังไม่เติมยังสุดยอดเลยอะ อร่อยมั่กมากๆ คอนเฟิร์มๆ



ต่อไปคือของฝากที่แม่เอาให้เพื่อนเก่าค้าบ เป็นของดีจากเมืองนนท์ มะม่วงยายกล่ำ นั่นเองงง


(รายละเอียดเพิ่มเติม....ดูคอมเม้นท้ายๆนะ)


ที่บ้านข้าพเจ้าก็มี เมื่อกี๊ก็เพิ่งยัดเข้าปากไป จากคำบอกเล่าของพ่อแม่คือ กลิ่นเหมือนอกร่อง รสชาติเหมือนน้ำดอกไม้...ถึงว่ากินแล้วรู้สึกแปลกๆ เป็นอย่างนี้นี่เอง อร่อยดีนะ พ่อเล่าให้ฟังว่า พ่อไปซื้อมาจากเจ้าของสวน ซึ่งถึงกับต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปก่อนจะใช้ตะกร้อสอยไอมะม่วงนี่มากว่าจะได้กินกัน...แต่คุ้มค่ามากๆ อาหย่อย งั่มๆ


พอสิ้นเสร็จธุระของท่านแม่แล้ว ก็ออกเดินทางจากจามจุรีสแควร์มุ่งหน้าสู่เซ็นทรัลลาดพร้าว เพื่ออะไรน่ะหรือ....



เพื่อรอแม่ซื้อเสื้อไปฝากน้าที่อเมริกา 3 ชั่วโมงไ้ง้ T^T (...ถึงขนาดว่า เริ่มเปิดประเด็นการเมืองกับพนักงานในร้านเลยทีเดียว ตีซี้กันขนาดนั้น กะให้เค้าลดราคาล่ะเซ่)


ถ้านิยามของผู้หญิงคือช็อปเก่ง ต่อราคาเก่ง แสดงว่าเราเป็นผู้ชายสินะ - -"


แม่บอกว่า แบรนด์ที่น้าอยากได้ นำเข้าจากฝรั่งเศสขอรับ ซึ่งในอเมริกามันขายแพงกว่าในไทย (อ่าว...ซะงั้น) จำชื่อแบรนด์ไม่ได้ แล้วก็อย่ามาถาม ข้าพเจ้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆ กลายเป็นหุ่นเชิดให้แม่ใช้ลองเสื้อแทนน้า ... (แล้วชุดมัน อ๊ากกกกกก) สุดท้ายก็ได้พี่พนักงานหุ่นยาวเข่าดีช่วยลองให้แม่ กว่าจะจบสิ้น แทบบร้าาา สัปหงกรอแม่อยู่ในร้านนั่นแหละ ถ้าไม่เกรงใจ ไปตบกีต้าร์ฮีโร่แล้วโว้ยยย


เสร็จแล้วก็ไปซื้อคอนเวิสออลสตาร์กะพ่อ (ณ จุดนี้ไม่มีไรมาก ขี้เกียจพล่าม) แล้วก็จบลงที่ร้านแมคโดนัลด์กะอีกเกือบ 2 ชั่วโมงของธุระแม่ (อีกแล้ววววว) กับญาติที่มาจากญี่ปุ่น (อะ อันนี้อนุโลมนิดนึง คุณน้าเค้ามาไกล)


(ยามว่างจะรีวิวแมคโดนัลด์ไทยแลนด์ให้...อย่าคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจนะ!)


แต่ที่สุดแล้ว ของที่เราได้ในวันนี้ หลังจากที่ไปตะลอนกะแม่ทั้งวันคือ...รองเท้า 1 คู่ T^T (เซ็งชิบบบ)



ว่าแล้วแม่ก็เตรียมไปส่งคุณน้าที่คอนโดแถวไหนซักแห่ง (แล้วบอกข้าพเจ้าด้วยความรักว่า "เสื้อผ้าของลูก ไว้ซื้อที่เดอะมอลล์พรุ่งนี้ละกัน" ... Damm แล้ววันนี้ทั้งวันของข้าพเจ้า ???)....ข้าพเจ้าก็เลยเผ่นไป ม. เลยเจ้าค่ะ ไปยลโฉมแม่นางหมีเหย่ยก่อนจากลา โหยยย วันนี้สรุปคือไปทำงานกับแม่ชัดๆ T^T



เซ็งสุดชีพพพพพพพพพพ !!!

13 มีนาคม 2553

ว่าด้วยนิยาย...และความสับสนของชีวิต

วันนี้ได้มีโอกาสจับเข่าคุยเล็กๆน้อยๆกับท่านพี่เอมแห่งชมรมวรรณศิลป์ ช่วงเทอม 2 นี่ไม่ได้คุยหรือเยื้องกรายเข้าไปเฉียดกับอะไรที่เกี่ยวกับวรรณกรรมเลย (สงสัยเป็นเพราะจิตตกขั้นรุนแรง) รู้สึกแย่มาก พอปิดเทอมแล้วก็เลยหาโอกาสซะหน่อย เปิดหน้าต่าง M ทักพี่เค้าซะ ปรากฏว่าเราตกข่าวอย่างแรง


พี่เอมได้รางวัลชมเชย "ที่ว่าง...สำหรับคนเรื่องเยอะ" ของช่อง 3 (ดูรูปที่นี่)


โหยยย พี่เค้าจะเมพไปไหน มีโอกาสได้ทำเป็นละครด้วยง่ะ เท่านั้นยังไม่พอครับพี่น้อง พี่เอมท่านยังเอานิยายเรื่องที่ว่าไปส่งโครงการนานมีบุ๊คส์อะวอร์ด อีกต่างหาก โดยส่งในหัวข้อแนวสืบสวน และได้แอบกระซิบมาอีกว่า นานมีเค้าเน้นการดำเนินเรื่องกระชับ และสำนวนแบบฝรั่ง ของพี่เอมแต่งแนวไทย ส่วนของเราที่มีอยู่ปัจจุบันก็ไปทางญี่ปุ่น...แถมมีผีโผล่มาด้วย ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลย ฮะๆ (ซ้ำร้ายยังดองเค็มมาอย่างนานยาวเนื่องจากตันครับพี่น้อง) ปิดรับสมัครเดือนกรกฏานี้แล้ว ถ้าไม่ติดว่าซัมเมอร์นี้ไม่อยู่เมืองไทยก็อาจจะลองซักตั้ง แต่พล็อตเรื่องมันไม่ได้หง่าาา มันมีผีด้วยนี่สิ T^T


แต่โครงการของช่อง 3 เปิดมาอีกเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าอาจจะส่งก็ได้ หึหึ... มีพล็อต(ไม่)เน่าไว้ในหัวแล้ว


เอ่อ...ว่าแต่ว่า แกจะมีเวลาไหมเนี่ย รู้สึกอยากทำนู่นทำนี้เยอะเหลือเกิน สับสนคร้าบสับสน

  • อยากแต่งนิยาย
  • อยากทำ blog review ของกิน
  • อยากฝึกทำกับข้าว
  • อยากทำนวัตกรรมกีฬาให้ชมรม (อันที่จริงใช้คำว่าอยากไม่ได้ เอาเป็นว่าท่านประธานสั่งมา)
  • อยากเรียนภาษาอังกฤษ
  • อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น (เรียนแล้ว ล่มไปแล้ว T^T)
  • อยากเรียนเปียโน
  • อยากเรียนเทนนิส
  • อยากทำเกรดดีๆ (ฉุดของเทอมนี้ที่เน่าบัดซบแน่นอน)
  • อยากปั่นจักรยานรอบ ม.
  • อยากดูหนังที่ดองอยู่ในเครื่องให้หมด
  • อยากหมกตัวอยู่แต่ในหอสมุด ขุดหนังสือดีๆ มาอ่านเหมือนสมัยตอนอยู่ประถม-มัธยม (ทำไมเข้ามหาลัยแล้วไม่ได้ทำเลยวะ เซ็ง)
  • อยากหายจิตตก มีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ชัดเจนกะเค้ามั่ง

ทุกวันนี้ อยากตายอย่างเดียวจริงๆ คิดแล้วเครียด เห้อ...

เริ่มทำ blog ของตัวเองเป็นครั้งแรก

หลังจากบ้าเลือดแต่งนิยาย และทำ My.ID (อย่างกากๆ) ใน Dek-D มาร่วมๆ 6 ปี ยังไม่นับรวม HI5 และ storythai ที่ทำอย่างทิ้งขว้าง ล่าสุดก็นั่งปรับปรุง [-CHO-] โปรเจค(ล่ม)เก่าแก่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อระบายความบ้าของกลุ่มเพื่อนทั้ง 5 เสร็จไปหยกๆ


ในที่สุดบล็อกนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเสียที


จุดประสงค์คือ เอาไว้โพสต์สิ่งต่างๆที่น่าสนใจระหว่างเดินทางไปอเมริกา แล้วก็คงเลยเถิดไปเรื่อยๆหลังจากกลับมาอีก ปัญหาใหญ่หลวงยิ่งของบล็อกนี้คือ


ความสนใจแต่ละเรื่องของเจ้าของบล็อกมันช่าง...ขัดแย้งกันสิ้นดี


ถ้าเป็นไปได้ อาจจะสร้างบล็อกอีกบล็อกนึงเอาไว้ลงเรื่องของกิน-ท่องเที่ยว ส่วนบล็อกนี้เอาไว้วิพากษ์วิจารณ์ปรากฎการณ์ตั้งแต่เล็กจิ๋วยันใหญ่โตในสังคมทั้งในและนอกโลกไซเบอร์ (ด้วยวิถีแห่งความเกรียน อิอิ)


จริงๆแล้ว ไม่แยกบล็อกก็ย่อมทำได้ แต่ธีมมันช่างขัดแย้งกันเสียจริง ลงรูปใหญ่ๆก็ลำบาก



ดูสถานการณ์ก่อนละกัน...